Isuzu D Max 1.9 Ddi Blue Power

    ผมเป็นคนหนึ่งที่นิยมรถ ISUZU มาตั้งแต่วัยรุ่น สมัยรุ่นมังกรทอง เพราะด้วยประสิทธิภาพในเครื่องยนต์ประกอบกับเป็นรถกระบะ หรือ ทางต่างจังหวัดเรียกว่าปิคอัพ ด้วยความที่มีสมรรถนะของตัวรถเองรวมทั้ง เป็นเครื่องยนต์ดีเซล จึงทำให้มันมีความทนทาน แต่ผมไม่ได้ซื้อหรอกครับ แต่พอทำงานได้ ก็ทันได้ตามฝันของตัวเอง ด้วยการออกรถ ISUZU DMAX ปี 2004  Cab 4 3.0 Ls D Max 4WD เอาไว้ลุยต่างจังหวัด ถือว่าชอบตั้งแต่นั้นมา

2004 Isuzu Cab 4 3.0 Ls D Max 4wd

1.9 Ddi Blue Power นวัตกรรมเปลี่ยนโลก

เครื่องยนต์ตัวนี้ถูกออกแบบให้ลดความจุเครื่องยนต์ลงมาต่ำที่สุดในบรรดารถกระบะและให้ค่ามลพิษหรือค่าคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) น้อยที่สุดในรถระดับเดียวกัน และเครื่องยนต์นี้เป็นแบบดีเซลขนาด 1900 cc เท่านั้นซี่งฉีกกฎที่เคยเป็นในอดีตที่เริ่มที่ 2500 cc และสูงสุดที่ 3000 cc มาลองดูกันครับ มีอะไรใหม่บ้าง ทางผู้ผลิตได้ให้ข้อมูลใว้ดังนี้

ภาพ New DMAX 2016-2017

เครื่องยนต์ ISUZU  1.9 DDi Blue Power รุ่น RZ4E-TC ขนาด 1,900 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้าที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตรที่ 1,800-2,600 รอบ/นาที มาจากการคิดค้นและพัฒนาเครื่องยนต์ดีเซล ซูเปอร์คอมมอนเรล

รุ่นใหม่ โดยมีเป้าหมายสำคัญสูงสุด 3 ด้าน คือ

  1. แรงม้าและแรงบิดเพียงพอสำหรับรถปิกอัพขนาด 1 ตัน และสามารถรองรับการใช้งานกับรถบรรทุกขนาดกลาง ที่มีน้ำหนักบรรทุกรวมถึง 5 ตันได้ในอนาคต
  2. มีค่ามลพิษต่ำ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมที่จะรองรับมาตรฐานสูงสุดระดับ EURO6 อันเป็นมาตรฐานที่เข้มงวดในอนาคต
  3. มีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันที่น้อยที่สุด เมื่อเทียบกับรถในระดับเดียวกัน

จากผู้ใช้งานจริง จากคนรักรถยี่ห้อนี้

Isuzu 1.9 blue power 4 Door Hi-lander ตัวลองท็อป

ด้านเครื่องยนต์

แรงจริง แต่ไม่ใช่ว่าแรงที่สุดจนจะต้องเอาไปแข่งกับชาวบ้านบนท้องถนนเพื่ออวดศักดา เพียงพอต่อการใช้ในชีวิตประจำวัน อัตราเร่งแซงดี แต่ในความชอบส่วนตัวผมนั้นไม่ค่อยพอใจ เวลากดแซงหรือลากเกียร์แซงยาวๆ เช่น หากต้องแซงรถที่วิ่งตามกันไป ด้วยความเร็ว 50 – 60 กม./ชม. นั้นผมไม่รู้หรอกว่าบรรดาท่านๆ ขับด้วยเกียร์อะไร แต่ผมถ้าแซงแบบไม่มีปัจจัยกดดันก็เกียร์ 4 แต่ถ้าต้องรีบแซงเพราะมีปัจจัยอื่นบีบบังคับ มันต้องเกียร์ 3 อัตราเร่งปู๊ดป๊าดแต่การลากรอบของเครื่องยนต์ไม่ประทับใจ ไม่เหมือนพวกเครื่อง 2.5 ตัวเก่า เคยขับตัว D-Max supper platinum เวลาลากรอบสูงมันรู้สึกถึงเครื่องที่รอบจัดกว่าตัว 1.9  ถ้าอยากจะให้ประหยัดน้ำมันแบบเอาไปคุยได้ว่า เฮ้ย… มันประหยัดน่ะเอ้ย ได้ 16-18 กม./ลิตร ต้องขับตามที่หน้าจอบอกครับ คือให้เปลี่ยนเกียร์ตอนที่ความเร็วถึงกำหนด รอบเครื่องต้องได้ตามทีระบุมาในสเปค คือแรงบิดเริ่มที่ 1800 รอบ ถึงจะประหยัดน้ำมันและการใช้เกียร์ให้เหมาะสมกับความเร็วและรอบเครื่อง แต่บอกได้แค่ว่าใช้ในชีวิตประจำวันยากครับ ถนนสมัยนี้มันไม่ได้เหมือนกันหมดทุกที่ที่จะวิ่งที่ความเร็วนั้นค้างได้นานเป็นชั่วโมงๆ โดยไม่ยกคันเร่งโดยไม่ต้องมีสิ่งกีดขวางให้ลดความเร็ว  ส่วนใหญ่ขับไปแช่ความเร็วนั้นได้ 5-10 นาทีก็ต้องลดความเร็วอีกแล้ว (ยกเว้นท่านที่ใช้รถทางไกล วิ่งถนน 4-8 เลนนั่นมันก็อีกเรื่อง ของผมถนนมันบ้านๆ ชนบท ไฟแดงรถติด พวกปาดหน้า หมาวิ่งใส่)

ด้านเกียร์

เกียร์มาใหม่ 6 เกียร์เดินหน้า 1 เกียร์ถอยหลัง บอกได้แค่ว่าเป็นอะไรที่เจ๋งสุด แต่!!! เกียร์ 1 เป็นอะไรที่บัดซบมาก! เข้าใจว่าต้องการทำมาให้เป็นเกียร์แรง แต่ถ้าเอามาออกตัวตอนทางชันบอกได้แค่ว่าสับเกียร์ 2 ต่อโคตรถ่อยเลย (ถ้าคุณเป็นพวกขับรถไม่สนใจเรื่องความนุ่มนวลคุณจะไม่รู้สึกอะไร) แต่ผมเป็นพวกขับรถต้องเป๊ะ ทั้งกฎจราจร คนอื่นมองมาเรื่องมารยาทการขับขี่ต้องดี และรวมถึงความนุ่มนวลในการขับที่คนนั่งต้องรู้สึกว่าขับรถดีไม่ใช่กระชาก งึกงัก มันต้องสมู๊ดครับ เลยเป็นเรื่องยากสำหรับผมที่ต้องไปเลียคลัชต์กันจนสนุกสนานเวลาสับเกียร์ 2 ต่อในทางชัน (ไม่ต้องมาบอกนะครับว่าผมเร่งเครื่องมากไปเวลาปล่อยคลัชต์หรือขับไม่เก่งเอง ต้องเข้าใจคำว่าผมขับรถต้อง!! สมู๊ดครับ คือมันทำได้แต่มันทำยากกว่ารถรุ่นก่อน หรือรถยี่ห้ออื่นๆ ) ถ้าจะทำเกียร์ 1 ทดเยอะมาขนาดนี้แนะนำให้ใส่ slow มาต่างหากเลยดีกว่าแล้วเอาเกียร์ 1 เหมือนเดิมมาจะเป็นสวรรค์กันเลยทีเดียว  เมื่อเอาเกียร์ไปชนกับเครื่องและมิติของรถ ผมรู้สึกว่าในการขับขี่บนท้องถนนแถวบ้านผมเป็นเรื่องที่ยากที่จะทำให้ประหยัดน้ำมัน เพราะต้องเปลี่ยนเกียร์บ่อย ทันทีที่แตะๆ คันเร่งอัตราซดน้ำมันพี่ท่านจะมาแถวๆ 10-12 กม./ลิตร (กดคันเร่งแซงแบบชิวๆ ว่ากดคันเร่งนิดเดียวแล้วนะ แต่อัตราซด 7-8 กม./ลิตร เลยจ้า… ให้พ่อให้พี่ขับก็เหมือนกันหมด ผมมันพวกชอบจับผิดแอบดูหน้าจอตลอดว่าเหมือนเราขับไหม หึหึ)  ยกเว้นแต่ว่าจะวิ่งไม่สนใจใครชั้นจะขับให้ประหยัดให้ได้ก็นั่นแหละถึงจะไม่เป็นปัญหา (ไปเรื่อยๆ ไม่รีบ ขวางถนนช่างหัวมัน)   ส่วนเกียร์ถอยหลังก็เป็นอะไรที่เข้ายากแถมยังเอาออกยากอีก อย่ามาให้เหตุผลว่าเกียร์มันกระชับ ช่องมันแคบเพราะเกียร์มันมากขึ้นเลยครับ ผมขับรถมาหลายสิบปีขับตั้งแต่รถไถยันสิบล้อ ของมันเข้ายากก็คือเข้ายากไม่ต้องมาบอกว่าไม่ชิน นี่ขับมาหลายเดือนแล้วไม่ใช่ไม่ชินแต่มันเข้ายาก

ช่วงล่าง + เบรค

ก็ถือว่าดีในระดับนึง นิ่ม หนึบนิดๆ ไม่ได้ดีเลิศ ไม่ได้แย่จนเกิดทน

มิติรถ + งานประกอบ

ถือว่าใหญ่ ใช้งานในเมืองก็เป็นเรื่องยากถ้าคนไม่เคยขับกระบะหรือรถที่มีมิติใหญ่มาก่อน จอดในห้างก็ปกติ(สำหรับผมอ่ะนะ)  ส่วนเรื่องการประกอบ ความเรียบร้อยที่ออกมาเป็นรถ บอกได้เลยว่าค่อนข้างแย่ ซื้อรถคันเกือบล้าน งานประกอบหรืออุปกรณ์ที่ใส่ดูไม่เรียบร้อยเหมือนของเด็กเล่นยังไงก็ไม่รู้ (วันไปดูไปจองรถก็เห็นหมดแล้วนะครับ แต่ก็จะเอาก็คนจะเอา ชอบ Isuzu เดี๋ยวจะว่าผมหน้าม้ามาทำเสีย)  รู้สึกห้องโดยสารอัดอากาศมาก เวลาปิดประตูนี่ถ้าไม่ลงกระจก หูแทบดับ ยกเว้นคนปิดแบบผมกับพ่อ คือเวลาปิดก็ใช้แรงเอาไม่ใช้ความเร็วประตูในการปิด อยู่นอกรถเวลาปิดก็ใช้แรงปิดคือประตูเคลื่อนที่ช้าแต่พอจะถึงก็ออกแรงดันส่ง ปิดทีรถโยกทั้งคัน ส่วนตอนอยู่ข้างในก็ใช้วิธีดึงเอาด้วยความแรง แต่แผงคอลโซลแถบจะหลุดติดมือมา (ห่านเอ้ย) ถ้าปิดแบบคนอื่นๆ ที่ผมเห็นเขาปิดกันก็นั่นแหละครับ ปัง!! ปึ้ง!! คนในรถหูแทบแตก

ความสะดวกสบาย

ก็รถ 4 ประตูก็สะดวก เบาะนั่งก็สบายทั้งนั่งและขับ ปรับระดับได้จะสูงจะต่ำ ช่องวางแก้วใหญ่ใช้ได้ แอร์เย็น  ลำบากอย่างเดียวคือบิดกุญแจจะสตาร์ทเครื่องทีนึงต้องมารอระบบไฟ แฮ่…

นอกนั้นก็ไม่มีอะไร ไฟตาสว่างดี มีเส้นขอบไฟไม่แยงตาชาวบ้าน ไฟตัดหมอกสว่างดี(ลองเปิดเล่นไม่ได้เปิดตอนวิ่ง) เสียอย่างเดียว ไม่รู้มดเข้าไปในถังฉีดน้ำกระจกได้ไง ตอนนี้ตันสนิทติดทนนานยังไม่ได้เอาเข้าศูนย์ อย่างงง

อ้างอิง ข้อมูลจากผู้ใช้จริง อ้างอิง https://pantip.com/topic/35198342

สรุปโดยรวมของรถ

ความประหยัด ไม่ได้ประหยัดจนต้องว้าว!! มันก็ราวๆ 15 กม./ลิตร
สำหรับผมขับยาก ต้องเปลี่ยนเกียร์บ่อย ถ้าจะขับให้ประหยัด
ความคงทน ไม่รู้ยังไม่อยากพิสูจน์ ต้องใช้เวลา

แนะนำจาก Youtube

 

 

Facebook Comments